วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2555

MGT 516 งานครั้งที่ 4 Panasonic creates a Single Version of the Truth from It’s Data



Panasonic creates a Single Version of the Truth from It’s Data
พานาโซนิก เป็นหนึ่งในผู้นำด้านการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ภายใต้การควบคุมของบริษัท Matsushita electric โดยมีการรวมกลุ่มมากกว่า 600 ห้างหุ้นส่วน ในการรวมตัวกันครั้งนี้ ธุรกิจของ Matsushita มีผลผลิตมากกว่า 15,000 ชนิด ในตลาดทั่วโลก และมีคนงานมากกว่า 330,000 ทุกเชื้อชาติ โดยเฉพาะในยุโรป พานาโซนิกมี 15 ผู้ประกอบการ 14 โรงงานผลิต 5 ศูนย์วิจัย และ 7 ศูนย์บริหารจัดการ รวมถึงมีอิทธิพลทั่วโลก ทั้งเอเชียและอเมริกาเหนือ จึงทำให้มั่นใจได้ว่า พานาโซนิกมีการจัดการที่ครอบคลุมอยู่ทั่วโลก
ด้วยจำนวนข้อมูลของบริษัทที่มีความแตกต่างกันและมีจำนวนมาก ทางบริษัท ได้ค้นพบข้อมูลของสินค้าและลูกค้า ซึ่งบ่อยครั้งมีความไม่แน่นอน ซับซ้อน และไม่สมบูรณ์ โดยในภาคส่วนต่าง ๆของบริษัท ต่างมีแหล่งข้อมูลของตัวเอง ด้วยเหตุนี้ทำให้การดำเนินการของบริษัทมีประสิทธิภาพลดลง และต้องสูญเสียเงินเป็นจำนวนมากในการบริหารจัดการในภาครวม
ข้อมูลที่จำเป็นในการวางจำหน่ายสินค้าของพานาโซนิก มีทั้งรูปภาพ คำอธิบายรายละเอียดของสินค้า คู่มือการใช้งาน ราคา และแผนการตลาด โดยผู้ขายต่างก็ต้องปรับเปลี่ยนข้อมูลให้เหมาะสมกับประเทศและท้องถิ่นของตน ซึ่งต้องใช้เวลานานมากในรวบรวมและปรับเปลี่ยนข้อมูลในการวางจำหน่ายสินค้าใหม่ในตลาดโลก
เพื่อที่จะแก้ปัญหาดังกล่าว พานาโซนิกได้ออกนโยบาย Single vision of the truth
ในปัจจุบัน ข้อมูลส่วนใหญ่ถูกส่งผ่านระบบต่างๆ หลายระบบ เช่น โทรสาร จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ โทรศัพท์ รวมถึงจดหมาย ต่างคนต่างเลือกวิธีการที่แตกต่างกัน ส่งผลถึงความไม่มีประสิทธิภาพและความถูกต้องที่ลดลงของข้อมูล ถ้าแก้ปัญหานี้ได้ ทางพานาโซนิก ก็จะสามารถเพิ่มความเร็วในการส่งสินค้าออกตลาดได้มากขึ้น
พานาโซนิก มีความพอใจกับตัวเลขของความสำเร็จในการเป็นผู้นำด้านทีวีพลาสมา การปรับเปลี่ยนผู้บริหารของบริษัท รวมถึงนโยบายทางการตลาดที่ว่า Panasonic ideas for life เป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ถูกทำให้ด้อยลงจากค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการบริหารจัดการของบริษัท
เมื่อ Fumio Otsubo เข้ามาเป็นประธานบริหารในปี 2006 ขณะนั้นบริษัทมีกำไรจากการบริหารจัดการเพียง 5% โดยคณะกรรมการบริษัทคาดหวังให้เขาเพิ่มผลกำไรเป็น 10% ภายในปี 2010
ในอุตสาหกรรมของพานาโซนิก ผู้บริโภคต้องการเทคโนโลยีใหม่ๆ ในราคาที่ถูกลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่สำคัญของพานาโซนิก เช่น ทีวีพลาสมาและเครื่องเล่นดีวีดี ดังนั้น Otsubo จึงไม่เพิ่มกำไร โดยการเพิ่มราคา แต่ลดราคาให้ต่ำลง โดยเพิ่มยอดขายแทน
ในยุโรป พานาโซนิกเริ่มจะใช้แผนการกระจายข้อมูลแก่ผู้แทนและลูกค้า แทนการรวบรวมข้อมูลการตลาดเหมือนแต่ก่อน ก่อนหน้านี้ พนักงานของเขาต้องร้องขอข้อมูลสินค้าและการตลาด จากหลายตัวแทนของบริษัท แต่ภายใต้แผนการกระจายข้อมูลนี้ จะมีข้อมูลส่วนกลางแจกจ่ายไปให้ลูกจ้างและพนักงานทุกคนที่ต้องการมัน และเพื่อจะให้เป็นสากล ผู้ที่ต้องการข้อมูล รวมถึงผู้ค้ารวมรายปลีก และผู้ค้าในระบบอินเตอร์เน็ต จะได้รับข้อมูลทั้งหมดของสินค้าทันทีที่ผลิตออกสู่ตลาด โดยประโยชน์ของแผนการนี้ ไม่ใช่เพียงการผลิต หรือการมีข้อมูลของสินค้าที่ดีขึ้นเท่านั้น แต่มันจะทำให้ลูกค้าของพานาโซนิก จะไม่ลังเลใจในการเลือกซื้อสินค้าของพวกเขา และหันไปเลือกซื้อสินค้าของคู่แข่งแทน
เทคนิคของพานาโซนิกในยุโรป คือมีแผนการจัดการข้อมูลหลัก (MDM-Master Data Management) ซึ่งเป็นโปรแกรมของ IBM โดยโปรแกรมจะทำให้สามารถรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลในขณะเดียวกัน ทำให้โดยรวมแล้ว บริษัทสามารถควบคุมการจัดการข้อมูลได้ดีกว่าเดิม
โดยทั่วไป MDM มีจุดประสงค์เพื่อจะรวบรวมข้อมูลที่แตกต่างกันมาประสานกัน
เป็นข้อมูลหลักเพียงหนึ่งเดียว โดยบริษัทได้มีการปรับเปลี่ยน MDM เพื่อจะแก้ปัญหาความขัดแย้งของข้อมูลของแผนกต่างๆของบริษัท โดยจะมีประโยชน์ในหลายบริษัทที่มีข้อมูลออกมาหลากหลาย ในขณะที่บริษัทขนาดกลางและขนาดเล็ก จะไม่เป็นคู่แข่งที่จำเป็นต้องใช้ MDM อยู่แล้ว
MDM เป็นกระบวนการที่มีหลายขั้นตอน ตั้งแต่การวิเคราะห์ การรวบรวมข้อมูล การดัดแปลง การโอนย้าย และการพัฒนาโครงสร้างของข้อมูลหลัก โดยระบบนี้จะสร้างและบันทึกข้อมูลหลัก ๆ ของทั้งบริษัท ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญของบริษัทและองค์กร ที่จะกำหนดนโยบายที่ชัดเจน และไม่ให้ถูกเปลี่ยนแปลงได้โดยง่าย เมื่อ MDM ถูกนำมาใช้ พนักงานสามารถเข้าสู่ระบบของการรวบรวมข้อมูลได้ แต่จำเป็นต้องมีเครื่องมือที่ทำให้การปรับเปลี่ยนข้อมูลนั้นมีมาตรฐาน เช่น ข้อมูลที่อยู่ลูกค้า เลขรหัสต่างๆของสินค้า โดยระบบบริการของ MDM นั้น มีไว้เพื่อให้ข้อมูลที่ป้อนเข้ามา
มีการปรับปรุงให้เข้ากับข้อมูลหลักได้
ในกรณีของพานาโซนิกที่ใช้ MDM ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยภายใน 1 ปีครึ่ง ในยุโรป พานาโซนิกสามารถผลิตสินค้าเข้าสู่ท้องตลาดได้เร็วขึ้น และใช้เวลาในการผลิตและกระจายข้อมูลสินค้าน้อยลงกว่าครึ่งหนึ่ง โดยในการผลิตสินค้าตัวใหม่สู่ตลาด ใช้เวลาจาก 5-6 เดือน เป็น 1-2 เดือนเท่านั้น พานาโซนิกในยุโรป มีประสิทธิภาพที่เพิ่มมากขึ้น และสามารถลดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากกระบวนการผลิตหลายล้านยูโรต่อปี อีกทั้งยังสามารถเพิ่มยอดขายได้อีก 3.5 %
อย่างไรก็ตาม Paul Jackson นักวิเคราะห์ข้อมูลของบริษัท Forester ได้เตือนถึงอันตรายในการตั้งเป้าหมายเพื่อเพิ่มยอดขายที่มีพื้นฐานมาจากการปรับปรุงข้อมูล เขาได้ชี้แนะว่า การกำหนดราคา การสร้างนวัตกรรม และแผนการร่วมมือในภาคต่างๆ เป็นแผนการตลาดที่ดีกว่าในระยะยาว สำหรับตลาดโลกที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดที่มากขึ้นในทุกวันนี้
ในอเมริกาเหนือ พานาโซนิก เริ่มมีการปรับปรุงข้อมูล แต่พวกเขาไม่จำเป็นต้องเผชิญหน้ากับปัญหา หลายภาษา หลายประเทศ หรือหลายสกุลเงิน ซึ่งส่งผลต่อการวางจำหน่ายสินค้าในตลาดเหมือนในยุโรป อย่างไรก็ตาม ความท้าทายในการจัดการสายงานการผลิตและการรวบรวมข้อมูลสินค้าที่ดียังเป็นสิ่งที่น่าสนใจอยู่
พานาโซนิก เผชิญกับปัญหานี้ เมื่อต้องการเป็นผู้ให้ข้อมูล มุมมองของสินค้าต่างๆของตนแก่ลูกค้ารายใหญ่ในตลาดโลก เริ่มโดยพานาโซนิกต้องระบุความต้องการของข้อมูลที่ตลาดโลกต้องการ และข้อมูลนั้นต้องใกล้เคียงกับมาตรฐานอุตสาหกรรมในปัจจุบัน ดังนั้นเมื่อผู้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ได้เข้าสู่ระบบของพานาโซนิกแล้ว พวกเขาก็จะพบในสิ่งที่พวกเขาต้องการ
พานาโซนิก ได้ร่วมมือกับ IBM ที่จะสร้างเครือข่ายข้อมูลที่จะเก็บข้อมูลสำหรับสินค้า โดยข้อมูลบางส่วน เช่น สินค้าที่ผลิตโดยผู้ค้ารายใหม่ ที่ไม่ถูกบันทึกในข้อมูลหลักของบริษัท พานาโซนิก ได้วางระบบให้ข้อมูลนั้นเข้าสู่ระบบรวบรวมวิเคราะห์ เพื่อให้ข้อมูลดังกล่าวออกสู่ตลาดโลกได้
แต่ละบริษัท มีเครื่องมือหลายอย่างที่จะทำให้ตนมีส่วนแบ่งทางการตลาดของสินค้าใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น โดยเครื่องมือของแต่ละบริษัทนั้น มีแนวทางและพื้นฐานแตกต่างกันไป ส่วนพานาโซนิกต้องการกฎเกณฑ์การจัดการข้อมูลหลักที่ชัดเจน เพื่อไม่ให้สามารถปรับเปลี่ยนได้โดยง่าย เพื่อให้เป้าหมายและข้อมูลหลักที่สำคัญยังคงอยู่
Bob Schwartz รองประธานบริษัทพานาโซนิกในอเมริกาเหนือ หวังว่าท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดนี้ จุดยืนของบริษัทของเขาจะสามารถชักชวนให้บุคคลทั่วไปให้การสนับสนุนในการแบ่งปันข้อมูลกับทางบริษัทของเขา อย่างไรก็ตาม เขาคิดว่าจากจุดนี้จะเป็นจุดที่ยากขึ้นเรื่อยๆในการบริหารงานท่ามกลางการแข่งขันในปัจจุบัน
นอกจากหน่วยงานต่างๆ ของพานาโซนิกในอเมริกาเหนือแล้ว พวกเขายังมีพันธมิตรอื่นอีกในการผลิตสินค้าส่งออก ถ้าขาดพันธมิตรเหล่านี้ ระบบการตลาดในอเมริกาเหนือจะมีศักยภาพไม่เต็มที่ ซึ่งปัญหานี้ ถือเป็นปัญหาที่สำคัญของพานาโซนิกในยุโรป ซึ่งบริษัทพันธมิตรส่วนใหญ่อยู่ในเอเชีย ที่มีระบบการจัดการข้อมูลสินค้าของตัวเอง Paul Bolton ผู้จัดการอาวุโส แผนกการค้าและลูกค้าสัมพันธ์ ได้แก้ปัญหานี้โดยกระจายข้อมูลของสินค้าจากบริษัทแม่ในยุโรปก่อน ซึ่งพิสูจน์ได้ว่าข้อมูลนั้นดี มีประสิทธิภาพ และนำไปเผยแพร่แก่ผู้ผลิตอื่นๆ จนยอมรับข้อมูลสินค้าของเขา
Schwartz ได้วางแผนและวิธีการ ที่จะจัดการกับปัญหานี้ด้วย เขากล่าวว่าอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุด คือการชักชวนให้สำนักงานพานาโซนิกในญี่ปุ่น ร่วมมือในการใช้ข้อมูลสินค้ากับพวกเขาเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของโลกในปัจจุบัน ถ้าทำได้เพียงเท่านี้ MDM ก็จะประสบผลสำเร็จอย่างเต็มที่
ขณะเดียวกัน Schwartz ได้เข้าถึงผู้ขายในอเมริกา ซึ่งทำให้เขาได้รับกำไรเพิ่มขึ้นจากการปรับปรุงข้อมูลของบริษัท พานาโซนิกสามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้มาลดเวลาในการเก็บสินค้าราคาแพงมาไว้ในสต็อค เช่น ทีวีพลาสมาขนาดใหญ่ จาก 35 วันเป็น 7 วันซึ่งถือเป็นการเพิ่มกำไรให้แก่บริษัทเป็นอย่างยิ่ง

ตอบคำถาม
1. ประเมินค่าการใช้กลยุทธ์การทำธุรกิจของพานาโซนิค ที่มีอิทธิพลต่อการแข่งขัน และรูปแบบการประเมินค่านิยม
ตอบ กลยุทธ์การทำธุรกิจของพานาโซนิค ที่มีอิทธิพลต่อการแข่งขัน และรูปแบบการประเมินค่าห่วงโซ่ โดยการใช้แผนการกระจายข้อมูลแก่ผู้แทนและลูกค้า แทนการรวบรวมข้อมูลการตลาดเหมือนแต่ก่อน ซึ่งก่อนหน้านี้ พนักงานของเขาต้องร้องขอข้อมูลสินค้าและการตลาด จากหลายตัวแทนของบริษัท แต่ภายใต้แผนการกระจายข้อมูลนี้ จะมีข้อมูลส่วนกลางแจกจ่ายไปให้ลูกจ้างและพนักงานทุกคนที่ต้องการข้อมูล และเพื่อจะให้เป็นสากล ผู้ที่ต้องการข้อมูล รวมถึงผู้ค้ารวมรายปลีก และผู้ค้าในระบบอินเตอร์เน็ต จะได้รับข้อมูลทั้งหมดของสินค้าทันทีที่ผลิตออกสู่ตลาด โดยประโยชน์ของแผนการนี้ ไม่ใช่เพียงการผลิต หรือการมีข้อมูลของสินค้าที่ดีขึ้นเท่านั้น แต่มันจะทำให้ลูกค้าของพานาโซนิก จะไม่ลังเลใจในการเลือกซื้อสินค้าของพวกเขา และหันไปเลือกซื้อสินค้าของคู่แข่งแทน และ พานาโซนิก ได้ร่วมมือกับ IBM ที่จะสร้างเครือข่ายข้อมูลที่จะเก็บข้อมูลสำหรับสินค้า โดยข้อมูลบางส่วน เช่น สินค้าที่ผลิตโดยผู้ค้ารายใหม่ ที่ไม่ถูกบันทึกในข้อมูลหลักของบริษัท พานาโซนิก ได้วางระบบให้ข้อมูลนั้นเข้าสู่ระบบรวบรวมวิเคราะห์ เพื่อให้ข้อมูลดังกล่าวออกสู่ตลาดโลกได้
แต่ละบริษัท มีเครื่องมือหลายอย่างที่จะทำให้ตนมีส่วนแบ่งทางการตลาดของสินค้าใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น โดยเครื่องมือของแต่ละบริษัทนั้น มีแนวทางและพื้นฐานแตกต่างกันไป ส่วนพานาโซนิกต้องการกฎเกณฑ์การจัดการข้อมูลหลักที่ชัดเจน เพื่อไม่ให้สามารถปรับเปลี่ยนได้โดยง่าย เพื่อให้เป้าหมายและข้อมูลหลักที่สำคัญยังคงอยู่

2. ปัญหาการจัดการที่เกี่ยวกับข้อมูลของพานาโซนิคมีผลกระทบต่อการดำเนินการธุรกิจ และความสามารถในการปฏิบัติการตามกลยุทธ์อย่างไร
ตอบ เนื่องจากพานาโซนิค มีการรวมกลุ่มมากกว่า 600 ห้างหุ้นส่วน ในการรวมตัวกัน ธุรกิจของ Matsushita มีผลผลิตมากกว่า 15,000 ชนิด ในตลาดทั่วโลก และมีคนงานมากกว่า 330,000 ทุกเชื้อชาติ โดยเฉพาะในยุโรป พานาโซนิกมี 15 ผู้ประกอบการ 14 โรงงานผลิต 5 ศูนย์วิจัย และ 7 ศูนย์บริหารจัดการ รวมถึงมีอิทธิพลทั่วโลก ทั้งเอเชียและอเมริกาเหนือ จำนวนข้อมูลของบริษัทที่มีความแตกต่างกันและมีจำนวนมาก ทางบริษัท ได้ค้นพบข้อมูลของสินค้าและลูกค้า ซึ่งบ่อยครั้งมีความไม่แน่นอน ซับซ้อน และไม่สมบูรณ์ โดยในภาคส่วนต่าง ๆของบริษัท ต่างมีแหล่งข้อมูลของตัวเอง ด้วยเหตุนี้ทำให้การดำเนินการของบริษัทมีประสิทธิภาพลดลง และต้องสูญเสียเงินเป็นจำนวนมากในการบริหารจัดการในภาครวม
ข้อมูลที่จำเป็นในการวางจำหน่ายสินค้าของพานาโซนิก มีทั้งรูปภาพ คำอธิบายรายละเอียดของสินค้า คู่มือการใช้งาน ราคา และแผนการตลาด โดยผู้ขายต่างก็ต้องปรับเปลี่ยนข้อมูลให้เหมาะสมกับประเทศและท้องถิ่นของตน ซึ่งต้องใช้เวลานานมากในรวบรวมและปรับเปลี่ยนข้อมูลในการวางจำหน่ายสินค้า ใหม่ในตลาดโลก
เพื่อที่จะแก้ปัญหาดังกล่าว พานาโซนิกได้ออกนโยบาย Single vision of the truth
ใน ปัจจุบัน ข้อมูลส่วนใหญ่ถูกส่งผ่านระบบต่างๆ หลายระบบ เช่น โทรสาร จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ โทรศัพท์ รวมถึงจดหมาย ต่างคนต่างเลือกวิธีการที่แตกต่างกัน ส่งผลถึงความไม่มีประสิทธิภาพและความถูกต้องที่ลดลงของข้อมูล ถ้าแก้ปัญหานี้ได้ ทางพานาโซนิก ก็จะสามารถเพิ่มความเร็วในการส่งสินค้าออกตลาดได้มากขึ้น

3. มีการจัดการปัญหาด้านผู้นำข้อมูลหลักอย่างไร และมีผลกระทบต่อการแก้ปัญหานั้นอย่างไร
ตอบ พานาโซนิค มีแผนการจัดการกับปัญหาด้านผู้นำข้อมูลหลัก โดยใช้ ระบบ (MDM-Master Data Management) ซึ่งเป็นโปรแกรมของ IBM โดยโปรแกรมจะทำให้สามารถรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลในขณะเดียวกัน ทำให้โดยรวมแล้ว บริษัทสามารถควบคุมการจัดการข้อมูลได้ดีกว่าเดิม
โดยทั่วไป MDM มีจุดประสงค์เพื่อจะรวบรวมข้อมูลที่แตกต่างกันมาประสานกัน
เป็น ข้อมูลหลักเพียงหนึ่งเดียว โดยบริษัทได้มีการปรับเปลี่ยน MDM เพื่อจะแก้ปัญหาความขัดแย้งของข้อมูลของแผนกต่างๆของบริษัท โดยจะมีประโยชน์ในหลายบริษัทที่มีข้อมูลออกมาหลากหลาย ในขณะที่บริษัทขนาดกลางและขนาดเล็ก จะไม่เป็นคู่แข่งที่จำเป็นต้องใช้ MDM อยู่แล้ว
MDM เป็นกระบวนการที่มีหลายขั้นตอน ตั้งแต่การวิเคราะห์ การรวบรวมข้อมูล การดัดแปลง การโอนย้าย และการพัฒนาโครงสร้างของข้อมูลหลัก โดยระบบนี้จะสร้างและบันทึกข้อมูลหลัก ๆ ของทั้งบริษัท ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญของบริษัทและองค์กร ที่จะกำหนดนโยบายที่ชัดเจน และไม่ให้ถูกเปลี่ยนแปลงได้โดยง่าย เมื่อ MDM ถูกนำมาใช้ พนักงานสามารถเข้าสู่ระบบของการรวบรวมข้อมูลได้ แต่จำเป็นต้องมีเครื่องมือที่ทำให้การปรับเปลี่ยนข้อมูลนั้นมีมาตรฐาน เช่น ข้อมูลที่อยู่ลูกค้า เลขรหัสต่างๆของสินค้า โดยระบบบริการของ MDM นั้น มีไว้เพื่อให้ข้อมูลที่ป้อนเข้ามา
มีการปรับปรุงให้เข้ากับข้อมูลหลักได้
ผล กระทบที่จะตามมาคือ ถ้าตั้งเป้าหมายเพื่อเพิ่มยอดขายที่มีพื้นฐานมาจากการปรับปรุงข้อมูล โดยการกำหนดราคา การสร้างนวัตกรรม และแผนการร่วมมือในภาคต่างๆ อาจเป็นอันตรายได้ เพราะการตั้งเป้าหมายเพื่อเพิ่มยอดขายที่มีพื้นฐานมาจากการปรับปรุงข้อมูล โดยการกำหนดราคา การสร้างนวัตกรรม และแผนการร่วมมือในภาคต่างๆ เป็นแผนการตลาดที่ดีกว่า ในระยะยาว สำหรับตลาดโลกที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดที่มากขึ้น

4. อะไรคือความเสี่ยงที่พานาโซนิคต้องเผชิญในวิธีการแก้ไขปัญหานั้น
ตอบ ข้อมูลส่วนใหญ่ของพานาโซนิคได้ถูกส่งผ่านระบบต่างๆ หลายระบบ เช่น โทรสาร จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ โทรศัพท์ รวมถึงจดหมาย ต่างคนต่างเลือกวิธีการที่แตกต่างกัน ส่งผลถึงความไม่มีประสิทธิภาพและความถูกต้องที่ลดลงของข้อมูล ถ้าแก้ปัญหานี้ได้ ทางพานาโซนิก ก็จะสามารถเพิ่มความเร็วในการส่งสินค้าออกตลาดได้มากขึ้น
วิธีแก้ปัญหาคือ การใช้ระบบ MDM เป็นกระบวนการที่มีหลายขั้นตอน ตั้งแต่การวิเคราะห์ การรวบรวมข้อมูล การดัดแปลง การโอนย้าย และการพัฒนาโครงสร้างของข้อมูลหลัก โดยระบบนี้จะสร้างและบันทึกข้อมูลหลัก ๆ ของทั้งบริษัท ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญของบริษัทและองค์กร ที่จะกำหนดนโยบายที่ชัดเจน และไม่ให้ถูกเปลี่ยนแปลงได้โดยง่าย เมื่อ MDM ถูกนำมาใช้ พนักงานสามารถเข้าสู่ระบบของการรวบรวมข้อมูลได้ แต่จำเป็นต้องมีเครื่องมือที่ทำให้การปรับเปลี่ยนข้อมูลนั้นมีมาตรฐาน เช่น ข้อมูลที่อยู่ลูกค้า เลขรหัสต่างๆของสินค้า โดยระบบบริการของ MDM นั้น มีไว้เพื่อให้ข้อมูลที่ป้อนเข้ามา มีการปรับปรุงให้เข้ากับข้อมูลหลักได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น